• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

ผู้ที่ไปถึงเป้าหมาย เป็นเจ้าคนนายคนมักจะคิดแบบงี้

Started by Panitsupa, April 05, 2023, 11:10:11 PM

Previous topic - Next topic

Panitsupa

ขณะที่ยังเป็นผู้เรียน คนไม่ใช่น้อยต่างเชื่อเสมอว่าถ้าเกิดได้ตั้งอกตั้งใจเรียน สอบติดภาควิชาที่ใช่

ยิ่งมีโอกาสได้งานที่ดี เงินเดือนที่ดี และยิ่งเป็นอาชีพที่ใครกันแน่ก็รู้จักยกตัวอย่างเช่น เจ้าหน้าที่รัฐ, วิศวกร


นักธุรกิจยิ่งน่าภาคภูมิใจไปใหญ่ เพราะนอกจากเงินเดือนที่ได้ ส ม น้ำ ส ม เ นื้ อ มีมากไม่น้อยเลยทีเดียวพอที่จะเผื่อแผ่


ครอบครัวได้ มีสวัสดิการรองรับให้เป็นสุขยังเป็นอาชีพที่ถือว่า "มีหน้ามีตา" ผู้ใดก็ต้อนรับกันหมด

แม้กระนั้นในโลกของความจริงแล้ว อาชีพที่ "มีหน้ามีตา" ในสังคม มิได้เหมาะกับทุกคนเสมอ

แล้วก็ในแต่ละอาชีพ เขาก็มีการระบุอัตรารับสมัครแต่ละปีที่ค่อนข้างจะจำกัดน่ะสิ !

"แล้วจะเรียนไปเพราะอะไร ถ้าหากสุดท้ายก็ได้งานที่ไม่ตรงสาย/ งานที่น้อยคนจะรู้จัก/ ค่าจ้างรายเดือนที่ไม่ได้เยอะมากอะไร ?"

คำถามนี้จะได้คำตอบที่ เ ค รี ย ด มากมายเลย เนื่องจากว่ามันเต็มไปด้วยความคาดหวังที่คิดว่า

"เรามีทางเลือกอยู่ไม่กี่อย่างในชีวิต" แต่ถ้าเกิดทดลองเปลี่ยนเป็นความคิด "ฉันทำงานอะไรก็ได้


ไม่ว่าจะตรงสายหรือไม่ก็ตาม" มันอาจดูประโยคขี้แพ้ในสายตาบางคน


แต่ถ้าหากคิดๆดูแล้ว มันได้การพอใจ เยอะกว่าการตั้งคำถามแบบแรกเนื่องจากว่าความเป็นจริงของชีวิตเป็น

1. มนุษย์ทุกคนมีความเข้าใจในตัวเอง "ผิดแผก" กันไปเราไม่มีความจำเป็นต้องเก่งเช่นเดียวกันหมด

2. ในรั้วโรงเรียน- ม ห า วิ ท ย า ลั ยถึงแม้ว่าจะพวกเราได้เรียนกับคุณครูที่เก่งมากแค่ไหน

ขอบเขตความรู้มันก็เป็นเพียงวิชาความรู้ในรั้วเพียงแค่นั้นโลกของวัยผู้ใหญ่ที่โตขึ้น เรายังต้องรู้เหตุการณ์อีกมากมาย

เรียนรู้กันอีก ย า ว ลองถูกลองผิดกันอีกเยอะโดยเหตุนั้น จะมา ฟั น ธ ง ว่าเรียนมาสายวิทย์

จำเป็นต้องทำงานสายวิทย์ เรียนสายภาษาต้องดำเนินการสายภาษา มันก็ผิดเสมอ

3. มันเป็นเรื่องธรรมดาที่มนุษย์เราจำเป็นจะต้องวิ่งตามหาสิ่งที่ "ใช่"

เบาๆเรียนรู้ เบาๆปรับพฤติกรรมไป สิ่งที่พวกเรากำลังบันเทิงใจในเวลานี้ บางทีอาจจะยังไม่ใช่ที่สุด

สิ่งที่พวกเราเก่งเดี๋ยวนี้ ในวันข้างหน้า มันบางทีอาจเป็นเพียงแค่ความจำ

เพราะอาจมีหลายปัจจัยให้คิดมากขึ้น อย่างเช่น จึงควรพับโครงงานศึกษาต่อเอาไว้

เนื่องจากว่าเงินไม่เพียงพอควรต้องดำเนินงานหารายได้ก่อน และหลังจากนั้นก็ค่อยไปเรียนศิลป์ที่เราชอบ ...

พวกเราจำเป็นต้องมองจังหวะของชีวิตด้วย (ความจำเป็นของชีวิตแต่ละตอน


4. สิ่งที่เราเรียนมาเป็นสิบเป็นร้อยกว่าวิชา มันคือ "การหลอมหลอม" หลายวิชาไม่ได้

สอนพวกเราทางตรง แม้กระนั้นให้เราเบาๆซึมซับข้อดีแต่อย่างไปเอง เช่น ฝึกความทรหดอดทน, ฝึกหัดความประณีตบรรจงและละเอียดลออ,

ฝึกฝนความถนัดการเข้าสังคมในกาลครั้งหนึ่งที่พวกเราไม่เห็นผลดีว่าจะใช้อะไรได้จริง พอโตขึ้นอีกหน่อย

มันก็ต้องมีบ้างแหละที่เราคิดอะไรขึ้นมากระทั่งจำต้องไปหา อ่ า น ปัดฝุ่นตำราอีกรอบ

ทุกความรู้ที่พวกเราได้รับ ไม่เคยสูญเปล่า แค่เราไม่เห็นค่ามันเอง ลองนึกถึงให้ดีสิ !

5. มนุษย์เราต้องมีหนทางให้กับชีวิตไว้หลายด้าน หรือ "มีแผนสำหรับการสำรอง"

เพื่อไม่เป็นการปิ ด กั้ นตัวเองกระทั่งเกินความจำเป็น อาทิเช่น ถ้าเกิดวุฒิที่เราเรียนมามันหางาน ย า ก จะยอมรึเปล่าที่เอาวุฒิต่ำลงยิ่งกว่านี้หางานไปก่อน?

ถ้าหากเรามิได้อาชีพนี้ พวกเรายอมได้รึเปล่าที่จะทำอาชีพอื่นไปพลางๆก่อน?

ความฝันสิ่งที่ใช่ มันไม่ควรเป็นสิ่งที่ได้ดังหัวใจในทันทีทันใดมันเป็นเรื่องธรรมดามากๆที่จำต้องแลกเปลี่ยนกับความอ่อนแรง

ความ พ ย า ย า ม หลายเท่าตัว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรถ้าจะพบว่าทำไม ห ม อ

บางบุคคลถึงแต่งเพลงได้?

เพราะเหตุใดบางบุคคลเรียนวิชาชีพแต่มาเป็นนักแสดง?

เพราะเหตุใดบางบุคคลเรียนไม่จบแม้กระนั้นประสบความสำเร็จ?

ถ้าเกิดยังไม่เข้าในข้อนี้ ทดลองย้อนกลับไป อ่ า น ข้อ 4 อีกรอบขึ้นชื่อว่า "วิชาความรู้" พวกเราได้รับมา

ถึงจะไม่ใช้ในทันทีก็ไม่ควรเสียดาย ขึ้นชื่อว่า "ความฝัน" ถึงจะยังไม่ใช่ในวันนี้

ใช่ว่าวันหน้าจะไม่มีทางเป็นไปได้ มันอยู่ที่ตัวเราล้วนๆว่า... "รู้ตัวดีไหมว่าทำอะไรอยู่?" รวมทั้ง

"พร้อมจะยืดหยุ่นกับทุกเหตุการณ์ชีวิตรึเปล่า?"

อย่ าลืมว่า...โลกเรากลม แล้วก็มีหลายมิติ ใช่ว่าจำเป็นต้องมองดูเพียงแค่ด้านเดียว
ทำงานไม่ตรงสาย
ขอบคุณบทความจาก https://freelydays.com/13507/